จุดประกาย พลังเยาวชน ขับเคลื่อนอนาคต
สีสันกิจกรรมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 16 – 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในชื่อว่า กิจกรรมค่าย “เยาวชนพลเมืองจิตอาสาแห่งศตวรรษที่ 21 เท่าทันการบริโภค” ที่เป็นความร่วมมือของภาคีเครือข่ายหลายภาคส่วน ทั้งสำนักงานเขตราชเทวี กลุ่มคนรักษ์อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กลุ่มเครือข่ายภาคประชาสังคมเขตราชเทวี 25 ชุมชนในเขตราชเทวี ภาคธุรกิจในเขตราชเทวี และสมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (เดอะเนทเวิร์ค) โดยนัดรวมตัวกันที่ห้องประชุม ชั้น 9 สำนักงานเขตราชเทวี นับว่าได้ผลที่น่าปลื้มไม่น้อยทีเดียว ที่ว่า “น่าปลื้ม” ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานของตัวแทนเยาวชนจาก 25 ชุมชนในเขตราชเทวีที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ แต่หากดูที่ “วัตถุประสงค์” ซึ่งตั้งใจให้เป็น “การขับเคลื่อนการสร้างและปลูกฝังกลุ่มเยาวชนในชุมชนราชเทวี ให้มีจิตอาสาและเป็นกลุ่มพลเมืองคนสำคัญที่สามารถเป็นแกนนำในการทำงานอาสาในชุมชนของตนเองได้ต่อไปในอนาคต” ถือเป็นการจุดเทียนดวงเล็กๆ ที่จะกลายเป็นแสงสว่างสดใสในวันข้างหน้า การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ย่อมต้องไม่มองข้าม “บรรยากาศ” ของความสัมพันธ์ระหว่างกันด้วย โดยเฉพาะภาพที่อาจไม่ได้เห็นง่ายๆ คือผู้อาวุโสอย่าง คุณลักษณา โรจน์ธำรงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตราชเทวี และ คุณจุฑามาศ แสงวิเชียร หัวหน้าฝ่ายพัฒนาชุมชนและสวัสดิการสังคม สำนักงานเขตราชเทวี กล่าวเปิดงานด้วยการนั่งบนพื้นร่วมกับเด็กๆ หลังจากนั้น คุณปารีณา ประยุกต์วงศ์ ซึ่งรับหน้าที่หัวหน้าวิทยากรจึงนำเข้าสู่กระบวนการของกิจกรรมค่าย […]
ปฐมเหตุการเกิดชุมชนแออัดในเขตเมือง
โดย “ณัฏฐ์วสินทร์” หากนิยามคำว่าบ้าน คือ สถานที่พักพิงของทุกคนในครอบครัว มีพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน และเป็นส่วนหนึ่งของการเกิดวัฒนธรรมชุมชน แล้วกระท่อมไม้หลังเล็ก ผนังผุพัง หลังคาสังกะสีเก่ามีคราบสนิมเกาะ สร้างซ้อนทับแทบแยกไม่ออกว่าในรัศมีเพียงไม่กี่ตารางเมตร นั้นจะมีผู้คนซึ่งแบ่งตามลักษณะกายภาพเป็นครัวเรือนอาศัยอยู่ร่วมกันกี่ครอบครัว และในหนึ่งครอบครัวมีประชากรอาศัยอยู่อย่างแออัดกันกี่ชีวิต สิ่งเกิดขึ้นนี้จะเรียกว่า “บ้าน” ได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างที่มีไว้สำหรับซุกหัวนอนเท่านั้น ทั้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้กัน ห่างเพียงผนังตึกกั้น แต่ความเป็นคนของผู้อยู่อาศัยได้ถูกสังคมแบ่งแยกจากกันอย่างไม่รู้ตัว พิจารณาได้จากการที่กระทรวงมหาดไทยได้ถอดความหมาย “กลุ่มคนจนเมืองที่อาศัยในพื้นที่แออัด” จากคำว่า “Slum” ตามคำจำกัดความของสหประชาชาติ ในปี พ.ศ.2503 ว่า “แหล่งเสื่อมโทรม” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการกีดกันความสัมพันธ์ของผู้คนสองกลุ่ม ระหว่างคนรวยกับคนจนเมือง ถึงแม้ต่อมาในปี พ.ศ.2523 การเคหะแห่งชาติจะเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ชุมชนแออัด” แทนความหมายเดิมก็ตาม แต่กระทรวงมหาดไทยก็ยังพยายามขยายความเพื่อความชัดเจนอีกว่า เป็นสภาพเคหสถานหรือบริเวณที่พักอาศัยในเมืองที่ประกอบด้วยอาคารเก่าทรุดโทรมหรือสกปรกรกรุงรัง ประชากรอยู่อย่างแออัด ผิดสุขลักษณะต่ำกว่ามาตรฐานที่สมควร ทำให้การดำเนินชีวิตความเป็นอยู่แบบครบครันปกติวิสัยมนุษย์ ไม่อาจดำเนินไปได้เพราะไม่มีความปลอดภัยในสุขอนามัย ซึ่งการขยายความดังกล่าวไม่ได้แสดงออกถึงการมองภาพลักษณ์ของผู้คนในชุมชนแออัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย หากลองย้อนกลับไปศึกษาความเป็นมาของชุมชนแออัด จะเห็นได้ว่าเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ ได้สร้างที่พักชั่วคราวให้กับพนักงาน ถึงแม้ต่อมาไม่มีการผลิตปูนซีเมนต์ในพื้นที่นั้นอีกแล้ว แต่พนักงานบางส่วนก็ยังลงหลักปักฐานสร้างบ้านเรือน ขยายครอบครัว และผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย จนเกิดเป็นชุมชนเปรมประชาในปัจจุบัน ต่อมาเมื่อประมาณ 50 […]
ก้าวแรก เพื่อก้าวสู่ เมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน
ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ความเร่งด่วน รวดเร็ว ภายใต้ทุกสิ่งที่ถูกกระทำด้วยความเร่งรีบ เพื่อนำมาซึ่งเป้าหมายปลายทางที่ทุกคนต่างเรียกมันว่าความสะดวกสบาย ดูท่าว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์ในทุกสังคมได้เป็นอย่างดี เพราะธรรมชาติของผู้คนโดยส่วนใหญ่แล้ว ต่างมุ่งแสวงหาความ ‘civilize’ ทั้งในด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่และสหวิทยาการล้ำยุค เพื่อตอบสนองความอยู่ดีมีสุขของตัวเอง เพราะคนทั่วไปยังไม่สามารถแยกแยะระหว่าง ‘ความอยู่ดีมีสุข’ กับ ‘ความสะดวกสบาย’ ออกจากกันได้อย่างชัดเจน ยังมองทั้งสองเรื่องซึ่งแตกต่างกันอย่างสุดโต่งว่าคือเรื่องเดียวกัน มองว่าการไปไหนมาไหนด้วยการใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น มองว่าการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สื่อสารกับผู้คนทั่วโลกแบบไร้พรมแดน คือความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สังคมสมัยใหม่พึงมี โดยปล่อยให้เทคโนโลยีที่ชาญฉลาดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาพร้อมกับกาลเวลาเพื่อรอวันกลืนกินความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม ครอบครัว ญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงไปทีละน้อยตามเวลาการหมุนรอบตัวเองของโลก เมืองน่าอยู่ก็เช่นกัน ถึงแม้จะมีนักวิชาการหรือผลงานวิจัยต่างออกมาให้ความหมายของคำว่า “น่าอยู่” ของเมืองหรือชุมชนในมิติที่หลากหลายและแตกต่างกัน ตามความรู้ ความเชื่อ หรือหลักสมมติฐานที่ผ่านการทดลองอย่างเชี่ยวชาญของแต่ละสำนัก ซึ่งคำตอบไม่ได้มีแค่สองทางเลือกว่า ถูก หรือ ผิด ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า ความน่าอยู่ในนิยามหรือภาพฝันจะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนในแต่ละ สังคมได้มากน้อยเพียงใด เพราะแน่นอนว่าทุกสังคมมีอัตลักษณ์ วัฒนธรรม ความเชื่อ และรสนิยมในการใช้ชีวิตตามวิถีที่สืบทอดต่อกันมาด้วยภูมิหลังที่แตกต่าง เพราะฉะนั้นการจะสร้างเมืองสักเมืองเพื่อนำไปสู่การเกิดความน่าอยู่ ย่อมต้องคำนึงถึงความพร้อมของทรัพยากรในพื้นที่ และการสนองตอบความต้องการของผู้คนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่การยัดเยียดเมืองสำเร็จรูปสู่ชุมชนท้องถิ่น ที่บางครั้งไม่เพียงแต่ไม่เป็นประโยชน์ หากแต่ยังสร้างปัญหาให้กับชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ ในภายหลังอีกด้วย เมื่อปัจจัยการใช้ชีวิตและความต้องการของผู้คนถูกยกให้เป็นตัวกำหนดความ น่าอยู่ของเมือง การสร้างเมืองน่าอยู่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาค ส่วนในสังคมนั้นๆ […]
บทความเมืองน่าอยู่ ตอน ความแตกต่างของความน่าอยู่
“เพราะชุมชนไม่ใช่การอยู่อาศัยเพียงลำพังของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่เป็นการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนหลากหลายกลุ่มอาชีพ มีความแตกต่างกันของภูมิที่มา เพราะฉะนั้นทุกๆด้านของการพัฒนาจึงจำเป็นต้องค้นหาความพร้อมและศักยภาพของทรัพยากรในพื้นที่ เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ก่อนเกิดการพัฒนา และสำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการตอบความต้องการของคนส่วนใหญ่ในชุมชนด้วย” ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ได้เกิดปรากฎการณ์การเปลี่ยนแปลงใหม่ขึ้นมากมาย หากย้อนกลับไปสักหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เชื่อว่าไม่มีผู้ใดในยุคนั้นจะพยากรณ์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงในยุคนี้จะมีวิวัฒนาการที่รวดเร็วและนับวันยิ่งทวีคูณมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดน ระบบขนส่งที่รวดเร็ว ทางเลือกการศึกษาที่หลากหลาย และการค้นหาความรู้ใหม่แบบไม่มีขีดจำกัด ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นผลมาจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ถูกสร้างสรรโดยมนุษย์เพื่อสนองตอบความต้องการของตนเอง และกระจายแทรกซึมเข้าสู่ทุกระดับชั้นของสังคม ความทันสมัยภายใต้สังคมที่ถูกแวดล้อมด้วยสิ่งเร้าแห่งความสะดวกสบายต่างๆ ที่มนุษย์สัมผัสแทบจะทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันนั้น แท้จริงแล้วเป็น “ความเคยชิน” “ภาวะจำยอม” หรือ “ความน่าอยู่” ที่ทำให้พวกเขาอยู่ร่วมกับสิ่งเหล่านั้นได้จนกลายเป็นวิถี ไม่ว่าคำตอบของการอยู่ร่วมกันในสังคมจะเป็นข้อใดก็ตาม แต่เชื่อแน่ว่าสิ่งที่ยึดเหนี่ยวและทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขนั้นคือ “ความน่าอยู่ของสังคมนั้นๆ” และเมื่อพูดถึงความน่าอยู่ แน่นอนว่าในแต่ละสังคมย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หากถามถึงภาพของเมืองน่าอยู่หรือสังคมในฝันของผู้คนต่างพื้นที่กัน แล้วจะได้คำตอบที่สะท้อนความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่หลากหลาย และแน่นอนว่าต่างพื้นที่กันย่อมได้คำตอบที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างของโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาเมืองน่าอยู่ ของสมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสัมภาษณ์ผู้นำชุมชนซึ่งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนามาเป็นเวลานาน จำนวน 32 ชุมชน จากทั้งหมด 64 ชุมชน ในเขตเทศบาลนครพิษณุโลก โดยมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคำตอบ ไม่ได้มองว่าการพัฒนาด้านวัตถุว่าจะนำไปสู่ความน่าอยู่อย่างยั่งยืนได้ แต่กลับมองว่าการพัฒนาคน (การมีสว่นร่วม รักสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูล และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน) ในพื้นที่ต่างหาก ที่จะนำไปสู่ความน่าอยู่ของสังคมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ภาพ เวทีร่วมสร้างพิษณุโลกเมืองน่าอยู่ (เวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นมุมมองความน่าอยู่ของชุมชน) […]
Invisible Runners คุณคือนักวิ่งตัวจริง
เมื่อปลายปี 2557 The NETWORK ร่วมมือกับเครือข่ายคนรักษ์อนุสาวรีย์ชัยจัดงาน Zero West งานหนึ่งที่เราพยายามสร้างพื้นที่ให้กับคนทำงานอยู่เบื้องหลังความสะอาดสอ้าน อย่างพี่ๆที่คอยเก็บขยะให้เรา ในวันนั้นเราเชิญพวกเขาขึ้นเวทีพร้อมสะท้อนเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับขยะ ผลตอบรับคือ คนเหล่านั้นมีกำลังใจและรู้ว่าตัวเขาเองมีตัวตน ช่วงเวลาใกล้ๆกันแต่ระยะทางห่างไกลไปกว่าซีกโลก ประเทศอย่างบราซิลก็เห็นถึงความสำคัญของคนกลุ่มเดียวกัน พวกเขาจึงทำโปรเจ็คที่ชื่อ ‘Invisible Runners’ ‘Mizuno’ คือแบรนด์รองเท้าชื่อดังจากแดนอาทิตย์อุทัย หากจะทำ CSR แจกรองเท้าก็คงดูธรรมดาไป พวกเขาจึงทำวิจัยว่าอาชีพไหนที่ใช้ร่างกายเหมือนนักวิ่ง Half moraton ที่สุด คนที่ต้องวิ่ง 21 กิโลเมตรต่อวันเพื่อทำงานจะมีได้อย่างไร? คนทั่วไปอาจคิดอย่างนั้น แต่ผลการทำข้อมูลออกมาบอกว่ามีอยู่อาชีพหนึ่งที่ทำอย่างนั้นคือ “คนเก็บขยะ” ทีมงานจึงใช้ช่วงวันคริสต์มาส อีฟ ซึ่งเป็นช่วงที่มีขยะเยอะมากที่สุดช่วงหนึ่งของปี เพราะแต่ละบ้านต่างสังสรรค์และทิ้งขว้างทรัพยากรธรรมชาติไปพร้อมๆกับความสุข ในวันนั้นทีมถ่ายทำสารคดีสั้นออกติดตามผู้อยู่เบื้องหลังความสะอาดของเมือง แค่มีกล้องตามติด 40 ชั่วโมงเขาก็รู้สึกมีตัวตนในสังคมขึ้นมากมาย แต่ใครจะรู้ว่าช่วงเวลาที่แต่บ้านต่างมอบของขวัญเขาจะได้รับของขวัญ ขยะกองหนึ่งซึ่งถูกประดับด้วยไฟกระพริบค่อยๆปรากฏตัวหลังจากขยะที่พวกเขาเก็บไปทิ้ง เมื่อคุณเปิดออกดูคุณก็พบของขวัญเป็นรองเท้า ‘Mi-zuno’ ซึ่งราคาไม่ถูกอยู่ในนั้น กระบวนการของ ‘Invisible Runners’ อาจจะดูฉาบฉวยและไม่มีความยั่งยืน แต่อย่างน้อยๆ ครีเอทีฟได้สร้างสรรที่ให้คนกลุ่มหนึ่งได้มีที่ยืน อย่างโดดเด่น เราได้เห็นสภาพบ้านเมืองที่รกตาและเราก็ได้รู้ว่าใครดูแลมัน ในแง่ของแบรนด์มันทำให้เห็นชัดว่า […]
งาน “คลองหกวายินดีที่รู้จัก”
งาน “คลองหกวายินดีที่รู้จัก” ณ สะพานไม้ 100 ปี อำเภอลำลูกกา ปทุมธานี ตามนโยบายคสช. ในการพัฒนาการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นพลเมืองและสร้างการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทย ทางสมาคมเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (The NETWORK for Sustainable Development Association) จึงได้ร่วมกับภาคธุรกิจที่เล็งเห็นความสำคัญในประเด็นของการสร้างเมืองน่าอยู่อย่างมีส่วนร่วม โดยร่วมกับโรงเรียนทั้ง 9 แห่ง บริเวณรอบคลองหกวา ขับเคลื่อนโครงการงานวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Participatory Action Research) หลักสูตรท้องถิ่นเพื่อการเตรียมพลเมืองสู่การสร้างชุมชนน่าอยู่อย่างมีส่วนร่วม บริเวณพื้นที่รอบคลองหกวา มีเป้าหมายในการสร้างชุมชนน่าอยู่ร่วมกันผ่านหลักสูตรท้องถิ่นบูรณาการกับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เพื่อการเตรียมพลเมือง (เด็กและเยาวชน) ดี (Active Citizen) ให้กับท้องถิ่น (ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับท้องถิ่นของตนเอง และเกิดจิตสำนึกรักในท้องถิ่น) ชาติ (การเป็นแบบอย่างของนักเรียน สร้างเครือข่ายจิตอาสาเด็กในท้องถิ่น เป็นแบบอย่างที่ดีของเยาวชนในชาติ) และโลก (ผู้เรียนได้รับการพัฒนากระบวนการคิดและการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ร่วมกับชุมชน) หลังจากที่คุณครูและตัวแทนนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 จำนวน 4 คน จากทั้ง 9 โรงเรียน* […]
บทสรุป CSR Forum by Corporate Volunteer Network of Thailand ครั้งที่ 1
CSR Forum by Corporate Volunteer Network of Thailand ครั้งที่ 1 “เหลียวหลัง…แลหน้า – Past, Present and Future of CSR in Thailand” เวลา 8.30-17.00 น. วันจันทร์ ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ 2557 ณ ห้องประชุมประไพ วิริยะพันธุ์ ชั้น 3 สำนักงานสาขาลุมพินี บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) การเปิดงาน คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะ ประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวต้อนรับ และแนะนำวิทยากรผศ.ดร.กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ จากสถานบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คุณนภดล ศิวะบุตร จากบริษัท […]
รายงานเวทีเสวนาคนไทย-เดอะเนทเวิร์คฟอรั่ม ครั้งที่ 1-3 ประจำปี 2554
ในปี 2554 หอการค้า มูลนิธิ “คนไทย” หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และ เดอะเนทเวิร์ค ได้ร่วมกันจัดเวที เสวนาคนไทย-เดอะเนทเวิร์คฟอรั่ม เป็นจำนวน 3 ครั้ง เพื่อเป็นเวทีพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดและประเด็นต่างๆ โดยมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยสภาวะสังคมไทยเป็นพื้นฐาน อาทิ การสำรวจคนไทยมอนิเตอร์ เสียงนี้มีพลัง ทั้ง นี้เพื่อร่วมกันค้นหากลไก นวัตกรรมการพัฒนาโครงการ และแนวทางการพัฒนาต่อยอดโครงการขององค์กรภาคีเครือข่ายต่างๆ อันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลลัพธ์ในเชิงบวกต่อบุคลากร องค์กร และสังคมไทย อย่างบูรณาการ บนพื้นฐานของวัฒนธรรมแห่งความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในการจัดทั้ง 3 ครั้ง ได้มีการจัดรูปแบบที่หลากหลาย และ ตอบสนองสถานการณ์บ้านเมือง และ ส่ิงที่เกิดขึ้นในสังคม เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน และมีความคาดหวังว่า ผู้เข้าร่วมเสวนาจะนำข้อแลกเปลี่ยนจากสมาชิกท่านอื่นเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และ สร้าวนวัตกรรมบูรณาการการดำเนินธุรกิจ ที่มีพื้่นฐานคุณค่า CSR ที่เป็นมากกว่าการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หากการแลกเปลี่ยนร่วมกันจะทำให้ธุรกิจไทย ก้าวสู่การสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่จะรักษาสมดุลของ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กัน ๑.รายงาน เสวนา “คนไทย”-เดอะเนทเวิรค์ฟอรั่ม ครั้งที่ […]