ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจคือการสร้างความหมายของชีวิต
ในสายตาของลูกจ้างหลายคน การทำงานเป็นความเหนื่อยยาก เป็นอีกส่วนหนึ่งที่แยกขาดจากชีวิต ดึงเอาพลังไปหลายส่วน กลับมาด้วยความล้า และนอนดูทีวี ในสมัยก่อน อาจกล่าวได้ว่าการทำงานอย่างสังคมเกษตรกรรมเรา เช่น การทำนา จะเห็นว่าการทำงาน กิจกรรมทางครอบครัว และสังคม เป็นเรื่องเดียวกัน มีการสังสรรค์เฮฮากัน ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกันไประหว่างนั้น และก็ยังเป็นการสานสัมพันธไมตรีกับเพื่อนในชุมชนไปพร้อมกันด้วย การแยกขาดการทำงานกับชีวิตส่วนอื่นขาดจากกันนั้น ย้อนกลับไปได้ถึงช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม (เริ่มต้นจากในอังกฤษ) คือช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เริ่มมีเครื่องจักรไอน้ำที่สามารถทำงานแทนแรงงานคนจำนวนมากได้ แต่กระนั้นแรงงานคนก็ยังสำคัญอยู่ เพราะต้องคอยดูแลควบคุมกลไกของเครื่องจักรให้ดำเนินไปได้ ในตอนแรกนั้น การใช้เครื่องจักรทำให้มีผลิตภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลกำไรมากขึ้น และนำผลกำไรไปขยายโรงงานต่อ แต่ต่อมา กลายเป็นว่ามีการขยายโรงงานเกิดขึ้นทุกที่ จนกระทั่งเป็นว่าสินค้าออกมามากขึ้น กำไรลดลง และเพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น นายจ้างก็นำไปขูดรีดกับคนงาน ผลที่ตามมาคือ .. ประการแรก ในด้านเวลา นายจ้างต้องตั้งเวลาเข้าออกงานให้ชัดเจน และเพื่อให้เครื่องจักรใช้งานได้เต็มที่คุ้มกับที่เสียเงินลงทุนไป นายจ้างก็ต้องให้คนงานทำงานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จึงทำให้หลายโรงงานกำหนดชั่วโมงทำงานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน ให้การลาหยุดเป็นไปไม่ได้ เวลาทำงานเป็นเรื่องที่ตายตัว “เวลาว่าง” จึงเกิดขึ้นในยุคนี้คือ เวลาที่ปลอดจากงานทั้งปวง แถมมีเรื่องตลกที่ไม่ค่อยขำคือ นายจ้างในยุคนั้น ส่วนหนึ่งตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้นในช่วงเช้า และตั้งนาฬิกาให้ช้าลงในช่วงหัวค่ำ เพื่อว่าคนงานจะได้ทำงานมากขึ้น (โดยไม่รู้ตัว) […]
ครอบครัว: เรื่องสำคัญที่ไม่อยู่ในความสนใจ โดย ผศ. ดร. กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์
ผศ. ดร. กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 17 มิ.ย. 2553 ดิฉันมีโอกาสได้ไปร่วมงาน “การประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางปฏิรูปประเทศไทย” ที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ในงานมีการเปิดเวทีเพื่อให้ผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วนได้มีโอกาสแสดงความคิด เห็น โดยมีเงื่อนไขเพื่อการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพคือให้แต่ละคนได้พูด 2 นาที มีนาฬิกาจับเวลาพร้อมสัญญาณเตือนให้หยุด ปรากฏว่าผ่านไป 50 กว่าราย ไม่มีใครพูดถึงประเด็นปฏิรูปด้านครอบครัวเลยสักคนเดียว ในช่วงที่ดิฉันมีโอกาสทำ โครงการด้านสังคมวัฒนธรรมให้กับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจสังคม แห่งชาติ มีงานส่วนหนึ่งว่าด้วยเรื่องของบทบาทครอบครัว ทีมของเราพบด้วยความประหลาดใจว่าประเทศไทยเราไม่มีนโยบายหรือวาระแห่งชาติว่าด้วยเรื่องครอบครัวเป็นการเฉพาะ เช่น ไม่ได้มีการกำหนดแผนว่าต้องการเห็นสภาพครอบครัวไทยเป็นไปในทิศทางไหนและจะมี การดำเนินแผนงานพัฒนาอย่างไร แต่นำเรื่องครอบครัวไปบรรจุไว้เป็นส่วนหนึ่งของมิติการพัฒนาประเทศในด้าน ต่างๆ ด้วยความที่เห็นถึงความสำคัญเชื่อมโยงกับเรื่องอื่นๆ อยู่เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนี้จึงถูกหลงลืมละเลยเอาได้ง่ายๆ เข้าตำราที่ฝรั่งว่า Take it for granted อะไรประมาณนั้น หากจะพยายามหาเหตุผล คงต้องมองย้อนกลับมาที่ระดับบุคคลและความสัมพันธ์กับครอบครัว ก็จะพบว่าเรา ต่างล้วนรู้ดีว่าครอบครัวมีความสำคัญกับเรามากมาย แต่เมื่อถึงการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เรากลับใช้เวลาไปกับการบริหารจัดการสิ่งอื่นๆ เช่น การงาน การเรียน การพบปะสมาคม […]
เรื่องที่เก็บมาเล่าเรื่องราวที่เก็บมาฝาก: ประเด็นชูทางสังคม
อิสรภาพจากตัวตน โดย พระไพศาล วิสาโล ความเป็นตัวตนที่คนทุกคนต่างมีอยู่ จะกลายเป็นพันธนาการสู่ความทุกข์หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการถอนตัวเองให้เป็นอิสรภาพจากตัวตน จากความยึดมั่นถือมั่นไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู” ดังที่ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวไว้ว่าหากปล่อยวางจากความยึดติดแล้วด้วยปัญญา ก็จะเห็นความจริงว่าไม่มีอะไรไรที่น่ายึดถือแต่อุปสรรคที่สำคัญคือ ความหลงว่าสิ่งทั้งปวงอยู่ในอำนาจการควบคุมของเรา คนทั่วไปอาจมีคนที่อยู่ในความทุกข์ ความต้องการที่จะหลุดพ้นความทุกข์นั้นบางคนเลือกที่หนีบางคนเลือกที่จะสลัด ทิ้งความทุกข์ด้วยการสร้างตัวตนอีกหลายๆบุคลิกซ้อนขึ้นมาในคนๆเดียว ทั้งที่การสลัดตัวตนเดิมแล้วยึดตัวตนใหม่ที่สมมติขึ้นเพื่อสลัดความทุกข์ ทิ้งโดยไม่มีสติก็เป็นการยากที่จะเกิดปัญญาที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์และ อิสรภาพที่แท้จริง,อ่าน เพิ่มเติม มืออาชีพของภาคธุรกิจ…เปลี่ยนแปลงโลก โดย จอห์น วู๊ด เขียน , วิไล ตระกูลสิน ผู้แปล ประสบการณ์ จากการทำงานในชีวิตประจำวันสู่ประสบการณ์การทำงานเพื่อสังคมด้วยใจ อาสาสมัคร การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากพลังเพียงคนเดียวที่กล้าเดินออกจากเส้นทางที่เคยเดิน มาสู่เส้นทางการให้กับการทำโครงการ Room to Read (ห้องอ่านหนังสือ) การถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของ จอห์น วู๊ด กับเส้นทางการเดินทางของเขาออกจากการทำงานที่ไมโครซอฟท์เพื่อมาทำสิ่งดีๆให้ กับเด็กและเยาวชนในการเป็นอนาคตของโลก ความสุขจากสิ่งที่เขาได้ทำก็สามารถเป็นสิ่งที่เขาเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนแปลง โลกได้,อ่าน เพิ่มเติม
อยู่ที่ใคร
โดย ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์ “ตาบอดห้าคนไปจับคลำช้าง จับโดนหางช้างเป็นเหมือนงู จับถูกงวงช้างกลวงเป็นรู จับถูกหูช้างเป็นแผ่นห่อ อีกคนหนึ่งไปจับที่ขาก็กลับบอกว่าช้างต้นเป็นตอ จับถูกงาช้างแท่งงองอนี้แหละหนอ….มันอยู่ที่ใคร” เพลง “อยู่ที่ใคร” ของวงเฉลียงเมื่อหลายปีก่อน ให้ข้อคิดได้อย่างชัดเจนถึงมุมมอง (หรือมุมสัมผัส) ที่แต่ละคนมีแตกต่างกันไปตามตำแหน่งแห่งที่หรือจุดยืนของตัวเอง……อ่านเพิ่มเติม
เมื่อแบรนด์อเมริกันยิ้ม ไม่ออก
โดย ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์ นับตั้งแต่ประธานาธิบดี จอร์จ บุช ประกาศทำสงครามในอิรัก เป็นต้นมา ก็ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านประเทศสหรัฐอเมริกาจากประชาคมโลก กระแสนี้ส่งผลกระทบสืบเนื่องไปถึงสินค้าหลายแบรนด์ โดยเฉพาะเมื่อมีการเรียกร้องให้ผู้บริโภคบอยคอตสินค้าที่เป็นแบรนด์อเมริกัน ผลการสำรวจ โดย GMI Poll ที่ ไปสอบถามผู้บริโภค 8,000 รายจาก 8 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา, จีน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, อังกฤษ และอเมริกา เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2544 พบว่าคนจำนวนมากรู้สึกแย่กับประเทศอเมริกา เช่น 61 % ของชาวฝรั่งเศส และ 58 % ของชาวเยอรมันบอกว่ารู้สึกในเชิงลบกับบริษัทสัญชาตินี้…..อ่านเพิ่มเติม
ไม่เห็นขำ
โดย ผศ.ดร.กฤตินี ณัฐวุฒิสิทธิ์ สถาบันบัณฑิตพัฒนา บริหารศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ความตลกขบขัน หรือ Humor เป็นเครื่องมือการสื่อสารการตลาดที่สามารถเข้าถึงคนหมู่มากโดยมีเนื้อหาสาระ เน้นความฮา ดังที่เราเคยเห็นและเผยแพร่อยู่ในโฆษณา..แต่ในสายตาผู้บริโภคที่ต่างสังคม ต่างวัฒนธรรมอาจจะไม่ฮาอย่างที่คิด Humor หรือ ความตลกขบขำ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มักปรากฏในเครื่องมือสื่อสารการตลาด ด้วยความที่คนคิดว่าเรื่องตลกน่าจะเข้าถึงคนหมู่มากได้ดีกว่าการนำเสนอสาระ หรือความซีเรียสในเนื้อหา แต่รู้หรือไม่ว่า เรื่องขำเป็นเรื่อง Sensitive มากในสายตาผู้บริโภค สังคมต่างวัฒนธรรมอาจขำกันคนละเรื่อง คนแก่กับเด็กดูหนังแล้วหัวเราะกันคนละตอน หรือแม้แต่ชายกับหญิงก็ยังมีต่อมฮาที่แตกต่าง ไม่นานนี้ดิฉันได้ดูหนังโฆษณาชิ้นหนึ่ง เป็นเรื่องของคุณผู้หญิงจ้ำม่ำขี่ช้าง แล้วตอนขาลงก้นติดเอาที่นั่งตามลงมาด้วย ข้างๆมีชายหนุ่มหญิงสาวหุ่นดี 2 คนยืนเคี้ยวขนมหัวเราะขำขันในอาการเปิ่นของแม่สาวจ้ำม่ำ ดิฉันดูโฆษณานี้แล้วไม่เห็นจะขำตรงไหน เอาความด้อยความลำบากของคนอื่นมาเล่นตลกในโฆษณา ส่งเสริมค่านิยมผิดๆ ให้เด็กๆ ไม่รู้จักเห็นใจและยอมรับในความแตกต่างโดยเฉพาะในเรื่องสรีระ ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้วคิดเอาเองว่าคนสร้างคงเป็นผู้ชาย เพราะจากการศึกษาพบว่า ผู้ชายจำนวนมากเห็นตลกเวลาที่ได้ข่มหรือได้เกทับกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้หญิงไม่เห็นขำ ผู้หญิงมักไม่ชอบความก้าวร้าว มุกประเภทใครทำเปิ่นหรือเห็นคนล้มแล้วเหยียบซ้ำขำกลิ้ง แบบนี้ผู้หญิงไม่อิน แต่ถ้าเป็นเรื่องประเภทที่ผู้หญิงรู้สึกเชื่อมโยงได้ เช่น ถ้าเป็นมุกที่ดูแล้วบอกกับตัวเองได้ว่า “เออ…ชั้นก็เคยเจอประสบการณ์นี้เหมือนกัน” หรือ “ต๊าย…ตาย คนอื่นก็เป็นเหมือนเรา” แบบนี้ผู้หญิงจะรู้สึกขำ ขำ น่ารักดี อย่างอาหารหรือผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน […]
เผชิญด้านมืดด้วยเครื่องมือสื่อสารการตลาด
โดย ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์ เมื่อนึกถึงการทำ Integrated Cause Communication คนจำนวนมากมักนึกถึงการสื่อสารโครงการ ความดีงามต่างๆที่องค์กรเข้าไปให้ความร่วมมือ หรือเป็นผู้ริเริ่มไม่ว่าจะเป็นโครงการด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน หรือปัญหาสังคมอื่นๆ แต่เมื่อเหรียญมี 2 ด้าน โลกหมุนผ่านกลางวันและกลางคืน มนุษย์ทุกหมู่เหล่าย่อมหนีไม่พ้นด้านมืด ซึ่งบางคนอาจสามารถเอาชนะได้ แต่หลายครั้งด้านมืดก็เกาะกินจนยากที่จะลบล้างออกไป ประเทศไทยของเราก็ไม่พ้นกรณีดำ-ขาวนี้เช่นกัน ขณะที่ชาวโลกยกย่องความงามและน้ำใจของบ้านเรา เขาก็ตระหนักไปพร้อมๆ กันถึงเงามืดจากปัญหาการขายบริการทางเพศ จนถึงขั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวทำเงิน…….อ่านเพิ่มเติม
Dove…Real Beauty,For Real
โดย ผศ.ดร.กฤตินี ณัฎฐวุฒิสิทธิ์ “ดี…ดาด…ดับ” เป็น “ดี…เด่น…ดัง” การ ปิดทองหลังพระหรือการทำดีโดยไม่ ป่าวประกาศ หวังผล ลาภ ยศ สรรเสริญ นับเป็นการกระทำที่น่าชื่นชมยกย่องเป็นอย่างยิ่ง แต่ในการทำธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์องค์กรและการดูแลผู้ถือหุ้น เมื่อองค์กรทำความดี (Cause) ก็ ย่อมต้องมีการสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วม และยังเป็นการสนับสนุนภาพลักษณ์องค์กร อำนวยผลต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ปัญหาที่พบโดยทั่วไปคือ การที่องค์กรสร้างกิจกรรมความดี แต่ไม่สามารถสื่อสารให้เป็นที่ประทับใจได้ แม้โครงการจะดีแต่ถ้าธรรมดาดาดๆจนเกินไปก็อาจดับได้ไม่ช้าก็เร็ว……. อ่านเพิ่มเติม